“ปวดหลังร้าวลงขา” เป็นเรื่องที่น่าสนใจและสำคัญมากในการดูแลสุขภาพ ปวดหลังร้าวลงขาเป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีการใช้งานกล้ามเนื้อหลัง รวมถึงผู้ที่นั่งทำงานหนักหรือยืนนาน เป็นต้น หากไม่ได้รับการดูแลหรือรักษาอย่างถูกต้อง อาการนี้อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีของผู้ป่วยได้
ในบทความนี้เราจะพูดถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพหลัง รวมถึงสาเหตุและอาการที่เกี่ยวข้องกับอาการปวดหลังร้าวลงขา และการรักษาอย่างถูกต้องเพื่อลดอาการปวดและป้องกันการกลับมาของอาการในอนาคต
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่ท่านที่มีปัญหาเกี่ยวกับอาการปวดหลังร้าวลงขา และจะช่วยให้ท่านเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการป้องกันและรักษาอาการให้ดียิ่งขึ้น
อายุ 30 ต้นๆก็มีโอกาสเป็นโรคนี้กันแล้ว
อาการปวดหลังบ่อยๆ และปวดร้าวลงไปที่ขา หรือร้าวลงไปถึงปลายเท้า มีอาการชาอ่อนแรงร่วมด้วยแล้วละก็ นี้อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
อายุมากขึ้นหมอนรองกระดูกจะเริ่มเสื่อมและอาจทำให้เนื้อเยื่ออ่อนส่วอนที่อยู่ในภายในหมอนรองกระดูกปลิ้นโผล่ออกมาแล้วไปกดทับเส้นประสาท จึงทำให้เกิดอาการปวดหลังชา อ่อนแรงหรือเจ็บบริเวณแนวเส้นประสาทที่ถูกกดทับ
วิธีการรักษาหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
โดยแต่ละวิธีมีผลลัพธ์และเหตุผลที่แตกต่างกันไปดังนี้:
- ทานยา: การใช้ยาเป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการรักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เช่น ยาแก้ปวด ยาลดการอักเสบ หรือยาแก้ปวดเมื่อเป็นปัญหาเรื้อรัง การใช้ยาสามารถช่วยลดอาการปวดและอักเสบได้ชั่วคราว แต่ไม่สามารถแก้ไขสาเหตุของโรคได้
- ทำกายภาพบำบัด: การบำบัดด้วยกายภาพเป็นวิธีที่สำคัญในการรักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เช่น การเหยียดเป็นประจำ การออกกำลังกายทางกายภาพ การนวด และการฝึกหัวใจและปอด การบำบัดด้วยกายภาพช่วยลดอาการปวดและอักเสบได้ และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก
- ฉีดยาสเตียรอยด์: การฉีดยาสเตียรอยด์เป็นวิธีที่ใช้ในกรณีที่การใช้ยาและการบำบัดด้วยกายภาพไม่ได้ผล การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าไปในจุดที่เจ็บปวดบริเวณหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท จะช่วยลดการอักเสบและบวมในส่วนที่เจ็บปวด ทำให้รู้สึกว่าบรรเทาของอาการปวดได้ดีขึ้น
ผ่าตัด: การผ่าตัดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทจะพิจารณาก็ต่อเมื่อการรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล หรือเมื่ออาการปวดเริ่มรุนแรงและมีความผิดปกติในระบบประสาท แต่วิธีการผ่าตัดนี้จะเป็นวิธีการสุดท้ายที่ใช้ในกรณีที่มีความจำเป็นจริงๆ เพราะเป็นการเข้าถึงภายในร่างกายโดยตรง อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน และอาจต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานขึ้นด้วย
โดยอาจารย์แนะนำว่า ควรพยายามรักษาด้วยวิธีอื่นก่อนจะพิจารณาใช้วิธีการผ่าตัด เช่นการทานยา การทำกายภาพบำบัด และการฉีดยาสเตียรอยด์ โดยการใช้วิธีการรักษาเหล่านี้อาจช่วยแก้ไขปัญหาได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องพบกับความเสี่ยงที่เกิดจากการผ่าตัดหรือการใช้ยาสเตียรอยด์เข้าไปในร่างกายโดยตรง