ตรวจกรดยูริคเพื่อดูภาวะโรคเก๊าท์
โรคเกาต์ (Gout) เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยในเพศชาย ผู้ป่วยจะมีอาการปวดข้อฉับพลัน ข้อแข็ง และบวม ส่วนมากมักเป็นบริเวณนิ้วหัวแม่เท้า หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาการของโรคเกาต์ก็จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นและอาจเป็นอันตรายต่อข้อต่อ เส้นเอ็น และเนื้อเยื่ออื่นๆ ได้ สาเหตุของโรคเกาต์ โรคเกาต์เกิดจากร่างกายขจัดกรดยูริก (Uric acid) ออกไม่หมด จึงมีกรดยูริกอยู่ในเลือดสูงกว่าปกติ เรียกว่า “ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia)” เมื่อระยะเวลาผ่านไป กรดยูริกจะเกิดการตกตะกอน สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งจะกระตุ้นกระบวนการในระบบภูมิคุ้มกัน และก่อให้เกิดการอักเสบได้ กรดยูริกคืออะไร? กรดยูริกเป็นสารที่เกิดจากร่างกาย โดยร่างกายสามารถสร้างขึ้นได้เองถึง 80% ส่วนอีก 20% ที่เหลือ ได้มาจากการรับประทานอาหารที่มีสารพิวรีนเข้าไป โดยสารพิวรีนสามารถพบได้ในอาหารจำพวกสัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ พืชผักบางชนิด และอาหารทะเลบางอย่าง กรณีที่ร่างกายมีกรดยูริกมากเกินไป ร่างกายจะขับกรดยูริกที่เกินความจำเป็นทางปัสสาวะ แต่ในร่างกายของบางคนไม่สามารถขับกรดยูริกออกไปได้หมดจึงเกิดการสะสมกรดยูริก โดยเฉพาะบริเวณกระดูก ผนังหลอดเลือด และไต หากร่างกายไม่สามารถขับกรดยูริกออกไปได้หมด เมื่อระยะเวลาผ่านไป จะเกิดการตกตะกอนของกรดยูริกเป็นจำนวนมาก และทำให้กลายเป็นโรคเกาต์นั่นเอง ใครบ้างเสี่ยงเป็นโรคเกาต์ มีแนวโน้มที่จะพบโรคเกาต์ในเครือฐาติ นั่นคือ ผู้มีที่กรดยูริคในเลือดสูง และมีญาติสายตรงเป็นโรคเกาต์ มีความเสี่ยงในการเกิดโรคสูงกว่าผู้ที่มีกรดยูริคในเลือดสูงเพียงอย่างเดียว […]
ตรวจการทำงานของตับเพื่อรักษาสุขภาพที่ดี
ตับ ของคนเรานั้นเป็นอวัยวะภายในที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย อยู่ใต้ชายโครงด้านขวา โดยมีซี่โครงเป็นเกราะกำบัง มีน้ำหนักประมาณ 1.5 กิโลกรัม แบ่งเป็น 2 ส่วน เรียกว่า ตับกลีบซ้ายและตับกลีบขวา ทำหน้าที่สะสมสารอาหาร น้ำตาล เพื่อช่วยในการยังชีพและเติบโตของเซลล์ ต่าง ๆ ของร่างกาย รวมทั้งมีการทำลายเชื้อแบคทีเรีย สารพิษต่าง ๆ และเปลี่ยนสภาพยาที่กินเข้าไปเพื่อให้ออกฤทธิ์ต่ออวัยวะที่ต้องการ หน้าที่ต่าง ๆ ของตับจะอาศัยการทำงานของเซลล์ตับ ซึ่งมีหน้าที่หลากหลาย ดังนี้ ผลิตน้ำดี ซึ่งจัดเป็นหน้าที่หลักของเซลล์ตับ ควบคุมเมแทบอลิซึมของสารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ได้แก่ การสังเคราะห์น้ำตาลกลูโคสจากกรดอะมิโน กรดแลคติค หรือกลีเซอรอล การสลายโมเลกุลของไกลโคเจน เพื่อผลิตน้ำตาลกลูโคสออกสู่กระแสเลือด การสร้างไกลโคเจนจากน้ำตาลกลูโคส ควบคุมเมแทบอลิซึมของไขมัน โดยเฉพาะการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ผลิตสารที่เป็นปัจจัยการแข็งตัวของเลือด (clotting factors) แปรรูปโมเลกุลของฮีโมโกลบินที่ได้จากการทำลายเม็ดเลือด แดงที่หมดอายุจากม้าม เพื่อสร้างเป็นรงควัตถุน้ำดี (bile pigments) เช่น บิลิรูบิน (bilirubin) และบิลิเวอดิน (bilivedin) แปรสภาพสารพิษและยาต่างๆให้อยู่ในรูปที่ร่างกายสามารถขับถ่ายออกไปได้ เปลี่ยนแอมโมเนียที่เกิดจากการสลายโปรตีนให้เป็นยูเรีย เพื่อนำออกทางปัสสาวะ […]
ตรวจการทำงานของไตเพื่อสุขภาพที่ดี
ไต (Kidneys) คือ หนึ่งในอวัยวะภายในของมนุษย์ มีลักษณะเป็นเมล็ดถั่วเหลืองขนาดเล็กเท่ากำปั้น อยู่คู่กันระหว่างผนังลำตัวของกระดูกสันหลังช่วงเอว เป็นส่วนประกอบสำคัญในการช่วยปรับความสมดุลสารต่าง ๆ ที่มีปริมาณมากเกินความต้องการต่อร่างกายนั้น ให้ถูกขับออกไปเป็นรูปแบบของเหลวในช่องทางเดินน้ำปัสสาวะอย่างสม่ำเสมอ ไตทำหน้าที่อะไรบ้าง ไต จะมีการแบ่งหน้าที่หลัก ๆ 3 อย่าง ได้แก่ การคัดกรองของเสียออกจากเลือดไปในรูปแบบน้ำปัสสาวะ การปรับสมดุลน้ำ-เกลือแร่ในร่างกาย และการผลิตฮอร์โมนอีริโทรโพอิตินภายในไต การคัดกรองของเสียภายในไต มักจะเป็นสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกายไม่ว่าจะเป็นสารเคมี วิตามินหรือเกลือแร่ที่เกินต่อความจำเป็นต่อร่างกาย และการเผาผลาญจากสารอาหาร (Metabolism) ที่มีสารโปรตีนเกินความต้องการให้ถูกแปรเป็นของเหลวที่มีชื่อว่า ยูเรีย (Urea) ถูกขับไปในน้ำปัสสาวะ การปรับสมดุลน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย ไตจะช่วยรักษาความสมดุลของเกลือแร่และธาตุภายในร่างกายให้คงที่ ปรับอุณหภูมิภายในร่างกายอยู่ในระดับปกติ อีกทั้งควบคุมการรักษาความสมดุลของกรดและด่างในเลือดไม่ให้สูง-ต่ำจนเกินไป การผลิตฮอร์โมนอีริโทรโพอิติน (Erythropoietin) ฮอร์โมนตัวนี้ทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นส่วนของไขสันหลังกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดงขึ้นมาหล่อเลี้ยงไปตามเนื้อเยื่อทั่วร่างกายได้อย่างเพียงพอ สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคไต สาเหตุและปัจจัยหลักที่ทำให้ไตมีการทำงานผิดปกติจนก่อให้เกิดโรคไต ได้แก่ กรรมพันธุ์ – ประวัติคนในครอบครัวมีโรคแทรกซ้อนที่สร้างผลกระทบให้ไตมีการทำงานผิดปกติได้ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไต้เรื้อรัง อายุที่เพิ่มมากขึ้น – ทำให้ไตในภาวะที่ถูกใช้งานเป็นเวลานานมีการทำงานที่เสื่อมสภาพลง พฤติกรรมการบริโภค – การรับประทานอาหารที่มีรสจัดจ้านมากเกินไป เช่น ทานเค็ม หวาน […]
ไขมันไตรกลีเซอไรด์เพื่อสุขภาพของคุณ
ไตรกลีเซอไรด์ ไขมันตัวร้ายที่เกิดจากการทานอาหารมื้ออร่อย แล้วไม่ถูกเผาผลาญจึงย้ายไปสะสมที่พุง แขน ขา ตับ และอันตรายถึงขั้นไตรกลีเซอไรด์อุดตันในหลอดเลือดหัวใจ Triglyceride คืออะไร สำคัญอย่างไรกับร่างกาย Triglyceride (ไตรกลีเซอไรด์) คือ ไขมันภายในร่างกายที่ตับ สังเคราะห์ขึ้น จากน้ำตาล ข้าว แป้ง เพื่อสำหรับใช้เป็นพลังงานสำรองเมื่อร่างกายขาดกลูโคส และยังเกิดขึ้นได้จากไขมันในอาหาร เช่น หมูสามชั้น น้ำมัน เนย กะทิ โดยเมื่อถูกเปลี่ยนเป็น Triglyceride แล้วจะถูกสะสมเพื่อรอใช้งาน ที่บริเวณเนื้อเยื่อไขมัน และตับ ปัญหา คือ หากคุณรับประทานอาหารไขมันมากเกินจำเป็นที่ร่างกายต้องการ จะเกิดไตรกลีเซอไรด์สูง การสะสมที่เนื้อเยื่อและตับ จะทำให้คุณเสี่ยงเป็นโรคไขมันพอกตับ โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน โรคมะเร็งเต้านม ซึ่งระดับปกติของ Triglyceride จะอยู่ที่ 50-150 mg/dL ไตรกลีเซอรไรด์สูง! มีอาการอย่างไร เมื่อมีระดับไตรกลีเซอไรด์สูง (High Triglycerides) ซึ่งเป็นภาวะที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงกว่า 150 mg/dL ส่งผลให้การไหลเวียนโลหิตไม่สะดวก เสี่ยงหลอดเลือดอุดตัน […]
IV Therapy และบทบาทของ Stem Cell
IV Therapy คืออะไร? IV Therapy หรือ Intravenous Therapy การให้วิตามินหรือสารน้ำผ่านทางหลอดเลือดดำเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งกำลังเป็นที่นิยม เพราะเดี๋ยวนี้คนส่วนใหญ่ต้องการความรวดเร็ว ปลอดภัย เห็นผลไว และใช้เวลาในกระบวนการทำไม่นาน การดริปวิตามินจึงได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ดริปวิตามิน แตกต่างกับการทานวิตามินอย่างไร? ดริปวิตามิน แตกต่างกับการรับสารอาหาร วิตามิน หรือเกลือแร่ในรูปแบบอื่นๆ เช่น การรับประทาน การฉีดเข้ากล้ามเนื้อ การอมใต้ลิ้น รวมถึงการทาครีมเพื่อให้ดูดซึมผ่านทางผิวหนัง ในการทำดริปวิตามินนี้จะสามารถนำวิตามินและเกลือแร่เข้าสู่หลอดเลือดและส่งผลในการบำรุงร่างกายได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อย การดูดซึม หรือถูกคัดกรองผ่านด่านใดๆ หลังจากนั้นจึงจะถูกขับออกทางปัสสาวะและอุจจาระโดยไม่มีการสะสมหรือตกค้างเป็นอันตรายอยู่ในร่างกาย ด้วยประโยชน์ดังกล่าวจึงมีการปรุงสูตรการดริปวิตามินขึ้นหลายรูปแบบเพื่อให้เหมาะสมกับการดูแลสุขภาพของแต่ละบุคคล ทั้งนี้ในแต่ละสูตรหากต้องการให้เกิดประโยชน์สูงสุดและไม่เกิดอันตรายในการบำบัด ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจทำทุกครั้ง Stem Cell สเต็มเซลล์ คืออะไร Stem Cell คือ เซลล์ต้นกำเนิด ที่ยังไม่มีหน้าที่เฉพาะเจาะจง ความสามารถของสเต็มเซลล์คือการแบ่งตัวและเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลายเป็นเซลล์เนื้อเยื่อชนิดต่างๆ ได้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเซลล์ผิวหนัง เซลล์เม็ดเลือด เซลล์ตับ เซลล์ปอด เซลล์หัวใจ ฯลฯ โดยปกติทุกส่วนของร่างกายเรามี Stem Cell อยู่แล้ว […]
IV Basic Skin Bright: ความสว่างแห่งความงามสู่ผิวของคุณ
การดูแลผิวหนังเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพและความงามของเรา ผิวหนังที่ดีและสดใสไม่เพียงแต่ทำให้คุณดูดีและมีความมั่นใจ แต่ยังส่งผลให้คุณรู้สึกดีทางจิตใจด้วย IV Basic Skin Bright คืออะไร? การให้วิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระต้องอยู่ในการควบคุมของแพทย์ที่ชำนาญและได้รับการอบรมการใช้วิตามินนะคะ การให้วิตามินจึงจะปลอดภัยและได้ผลดี ประโยชน์ของ IV Basic Skin Bright ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งและกระจ่างใส ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการเกิดริ้วรอย ช่วยบรรเทาอาการอักเสบ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
การลดสัดส่วน ความสมดุลของร่างกายและจิตใจ
การลดสัดส่วนไม่ใช่เรื่องที่ต้องเรียกร้องให้ทุกคนต้องสูญเสียน้ำหนักหรือดีตัวตามมาตรฐานที่คนอื่นกำหนด แต่เป็นกระบวนการที่คุณตั้งใจที่จะสร้างสุขภาพที่ดีขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ การลดสัดส่วนคืออะไร? การลดสัดส่วนไม่ใช่เพียงแค่การลดน้ำหนักหรือเหลือหน้า แต่เป็นกระบวนการที่มุ่งเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ เป้าหมายของการลดสัดส่วนไม่ใช่การกลับไปสู่น้ำหนักที่คุณรู้จักในวัยเยาว์ แต่เป้าหมายคือการมีสุขภาพที่ดีและความรู้สึกดีในอารมณ์และจิตใจ ความสำคัญของการลดสัดส่วน 1. สุขภาพที่ดี: การลดสัดส่วนจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจและเบาหวาน รวมถึงช่วยเพิ่มสมรรถภาพของระบบภูมิคุ้มกัน 2. ความรู้สึกดีในอารมณ์: การออกกำลังกายและรักษาน้ำหนักที่เหมาะสมช่วยปลดปล่อยอะไรมากมายที่ทำให้คุณรู้สึกดี เช่น สารที่ช่วยในการรับรู้ความสุขและลดความเครียด 3. ความรู้สึกมั่นคงและมั่นใจ: การลดสัดส่วนช่วยปรับปรุงภาพลักษณ์และสร้างความมั่นใจในรูปร่างของคุณ นอกจากนี้ มันยังสร้างความมั่นคงในการตัดสินใจและการรับมือกับทุกสถานการณ์ วิธีลดสัดส่วนให้อยู่ในสุขภาพที่ดี 1. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเผยผิวออกมา ซึ่งทำให้คุณดูมีเสน่ห์มากขึ้น 2. รับประทานอาหารที่เหมาะสม: ควบคุมปริมาณอาหารและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ผักผลไม้ และโปรตีน 3. ดูแลสุขภาพจิต: การดูแลสุขภาพจิตเป็นส่วนสำคัญในการลดสัดส่วน เพราะความเครียดและความกังวลอาจส่งผลกระทบต่อน้ำหนักและสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ
วิตามินบำบัดผิว: เคล็ดลับสำหรับผิวที่สวยใส สุขภาพดี
วิตามินบำบัดผิว: เคล็ดลับสำหรับผิวที่สวยใส สุขภาพดี การดูแลผิวหนังเป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิตประจำวันของเรา ผิวหนังที่สวยงามและใสส่งผลต่อความรู้สึกของเราและสร้างความมั่นใจให้กับเราเอง วิตามินบำบัดผิวเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพในการดูแลผิวหนังเพื่อให้ผิวของคุณน่าประทับใจและแข็งแรงมากขึ้น วิตามิน C (Vitamin C) วิตามิน C เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติในการช่วยลดริ้วรอยและจุดด่างดำบนผิวหนัง มันช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว ทำให้ผิวดูสุขภาพและกระชับมากขึ้น วิตามิน E (Vitamin E) วิตามิน E เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยให้ผิวหนังปกป้องตัวเองจากรังสี UV และป้องกันความเสียหายจากสิ่งแวดล้อม มันช่วยในการรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวและลดอาการอักเสบ วิตามิน A (Vitamin A) วิตามิน A เป็นสารที่สำคัญสำหรับการสร้างเซลล์ผิวใหม่และช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนและลดริ้วรอย มันยังช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันในหน้าผากและป้องกันสิว วิตามิน D (Vitamin D) วิตามิน D เสริมสร้างสารในร่างกายที่ช่วยให้ผิวสามารถดูแลตัวเองได้ดีมากขึ้น คุณสามารถได้รับวิตามิน D จากแสงแดดและอาหารบางชนิด วิตามิน K (Vitamin K) วิตามิน K เป็นสารที่ช่วยในการลดเลือนริ้วรอยและรอยด่างดำบนผิวหนัง มันมีประสิทธิภาพในการเพิ่มความนิยมของผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
ไขมันโคเลสเตอรอล: ทำไมควรรักษาระดับไขมันเหล่านี้
ไขมันโคเลสเตอรอลหรือคอเลสเตอรอลเป็นสารประกอบที่อยู่ในร่างกายของเรา ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาความสมดุลของระบบสุขภาพของเรา แต่เมื่อระดับคอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้นมากเกินไป มันอาจกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้นการเข้าใจเกี่ยวกับไขมันโคเลสเตอรอลและวิธีรักษาระดับที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดูแลสุขภาพของเรา คอเลสเตอรอลคืออะไร? คอเลสเตอรอลเป็นสารประเภทไขมันชนิดหนึ่งที่มีลักษณะกึ่งของแข็งกึ่งของเหลวคล้ายขี้ผึ้ง ที่จริงแล้วคอเลสเตอรอลเป็นสารที่จำเป็นต่อร่างกายในการสร้างเซลล์ รวมถึงการผลิตวิตามิน ฮอร์โมน และสารต่างๆ ออกมาใช้ แต่เมื่อมีมากเกินไป คอเลสเตอรอลก็อาจกลายมาเป็นตัวการที่ทำร้ายสุขภาพของเราได้ คอเลสเตอรอลเกิดจากอะไร? โดยปกติร่างกายสามารถสร้างคอเลสเตอรอลที่ต้องการใช้ได้เองจากตับ ส่วนคอเลสเตอรอลที่เหลือนั้นมาจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไปทุกวัน โดยจะพบได้ในอาหารประเภทเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์เท่านั้น เช่น นม ไข่ และเครื่องในสัตว์ อาหารเหล่านี้ยังมีไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งเป็นสาเหตุให้ตับยิ่งผลิตคอเลสเตอรอลออกมามากเกินความจำเป็น จนทำให้มีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงตามมา คอเลสเตอรอลแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ คอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL Cholesterol) และคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL Cholesterol) โดยทั้งคู่ต่างเกิดจากการรวมตัวกันของคอเลสเตอรอลกับโปรตีน กลายเป็นสารที่ชื่อว่า “ไลโพโปรตีน” เพื่อให้ไขมันหรือคอเลสเตอรอลสามารถเคลื่อนตัวไปในหลอดเลือดได้ HDL (High-density Lipoprotein) คือคอเลสเตอรอลชนิดดีที่มีประโยชน์ เพราะจะช่วยพาคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์จากส่วนต่างๆ ในร่างกายกลับไปที่ตับเพื่อขจัดออกจากร่างกาย ส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลโดยรวมลดลง นอกจากนี้ยังมีส่วนในการยับยั้งการเกิดออกซิเดชัน และการแข็งตัวของเลือด ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง LDL (Low-density Lipoprotein) คือคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี เป็นคอเลสเตอรอลที่ก่อให้เกิดการการสะสมของไขมันตามผนังหลอดเลือดจนเกิดการอุดตัน เป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา […]
ระดับน้ำตาลสะสมในเลือด: ความเสี่ยงและวิธีการควบคุม
ระดับน้ำตาลสะสมในเลือดหรือ A1C (Hemoglobin A1C) เป็นตัววัดที่สำคัญในการประเมินความคุ้มค่าของการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในระยะยาว มันเป็นตัวบ่งชี้ความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานและภาวะน้ำตาลสะสมสูง (Prediabetes) หรือเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานแบบอย่างยิ่งในอนาคต อะไรคือน้ำตาลเฉลี่ยสะสม น้ำตาลเฉลี่ยสะสม เป็นค่าของน้ำตาลในเลือดที่จับกับโปรตีนในเม็ดเลือดแดง ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกถึงระดับน้ำตาลในเลือดที่สะสมมาตลอด 2 – 3 เดือนที่ผ่านมา แปลว่าถ้าเราได้รับอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลมากเกินความต้องการที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ก็จะมีน้ำตาลบางส่วนที่เหลือในเลือดไปจับกับเม็ดเลือดแดง โดยสะสมทุก ๆ วัน จนมีปริมาณฮีโมโกลบินเอ วัน ซีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด คือการวัดระดับความเข้มข้นของน้ำตาลในเลือดเพื่อประเมินว่าร่างกายสามารถควบคุมน้ำตาลได้ดีมากน้อยเพียงไร การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด หรือการเจาะน้ำตาลหลังอดอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิดมาแล้วอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (Fasting Blood Sugar: FBS)โดยระดับน้ำตาลในเลือดจะสามารถบ่งบอกถึงปริมาณของกลูโคสในกระแสเลือด ณ ขณะนั้นว่าอยู่ในระดับใด ซึ่งการตรวจน้ำตาลในเลือดนี้เป็นการตรวจที่ช่วยคัดกรองและวินิจฉัยว่าเรามีเสี่ยงเป็นเบาหวานหรือไม่? ปัจจุบัน เราสามารถตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยตนเอง (Self Monitoring of Blood Glucose) ซึ่งสามารถตรวจได้เองเป็นประจำ มีข้อดีคือ ทำให้ทราบความเสี่ยงว่าเป็นเบาหวานหรือไม่ และทำให้ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานสามารถปรับพฤติกรรมการดูแลตนเองได้ทันที ระดับน้ำตาลในเลือดดูอย่างไร? ระดับน้ำตาลในเลือด อยู่ระหว่าง 70-100 คุณอยู่ในภาวะปกติ ระดับน้ำตาลในเลือดเท่ากับ 100 […]